การขนส่งแบบ Pipeline หรือการขนส่งโดยใช้ระบบท่อนั้น มักเป็นการขนส่งสิ่งของประเภทของเหลวและก๊าซ เช่น น้ำประปา น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น โดยการขนส่งผ่านระบบท่อนั้นจะแตกต่างจากการขนส่งในทางอื่นๆ
หัวข้อในบทความนี้
การขนส่งทางท่อ คืออะไร
การขนส่งทางท่อ (Pipeline TRANSPORTATION) คือ การขนส่งสิ่งของประเภทของเหลวและก๊าซผ่านสายท่อ เช่น น้ำประปา น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งการขนส่งทางท่อจะแตกต่างกับการขนส่งประเภทอื่น คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการขนส่งไม่ต้องเคลื่อนที่ โดยเส้นทางขนส่งทางท่ออาจจะอยู่บนดิน ใต้ดินหรือใต้น้ำ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ประเทศแรกที่ใช้ระบบการขนสงทางท่อ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้สำหรับขนส่งสินค้าประเภทเชื้อเพลิง ปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบการขนส่งทางท่อสำหรับสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ
องค์ประกอบย่อยของระบบท่อขนส่ง
- สถานีต้นทาง (Supply Station หรือ Inlet Station)
- สถานีเพิ่มความดัน/สถานีสูบ (Compressor หรือ Pump หรือ Booster Station)
- วาล์ว หรือ สถานีบล็อกวาล์ว (Block Valve Station)
- สถานีปลายทาง (Outlet Station หรือ Terminal)
- เซนเซอร์ (Sensor)
- อุปกรณ์ตรวจสอบท้าความสะอาดท่อ (Pig) – Cleaning Pig – Instrument Pig (Inline Inspection Pig)
- สถานีปลายทาง (Outlet Station หรือ Terminal)
- ระบบควบคุม (Control System) 9. ระบบควบคุมกัดกร่อน (Corrosion Control System)

ส่วนประกอบของการขนส่งในรูปแบบ Pipeline
1. ผู้ประกอบการ ซึ่งในประเทศไทยนั้น ผู้ประกอบการที่สำคัญ ได้แก่ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)
2. อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการขนส่ง ได้แก่ ท่อ หรือสายท่อ ที่แบ่งเป็นท่อหลักและท่อย่อย
3. สถานีในการขนส่ง ได้แก่ สถานีต้นทาง สถานีปลายทาง สถานีแยก สถานีสูบดัน
การขนส่งทางท่อมีกี่ประเภท
- ท่อรวม (Gathering Pipeline)
- ท่อส่ง (Transport Pipeline หรือ Transmission Pipeline)
- ท่อกระจาย (Distrubution Pipeline)
ข้อดีและข้อเสียของการขนส่งในรูปแบบการขนส่งทางท่อ Pipeline
ข้อดี
- ประหยัดต้นทุน และเวลาในการเคลื่อนย้ายสินค้า
- สามารถขนส่งสินค้าได้ในทุกสภาพอากาศ
- สามารถขนสินค้าได้ไม่จำกัดเวลาและปริมาณ
- มีความปลอดภัยสูงจากการสูญหายของสินค้าหรือถูกลักขโมย
- สามารถกำหนดเวลาในการขนส่งได้แน่นอน
- ประหยัดค่าแรง เพราะใช้แรงงานคนในการดำเนินการขนส่งน้อย
ข้อเสีย
- สามารถขนส่งได้เฉพาะสินค้าที่สถานะเป็นของเหลวหรือก๊าซเท่านั้น
- มีต้นทุนสูงในการวางระบบครั้งแรก
- การตรวจสอบหาจุดบกพร่องนั้นทำได้ยาก
- เมื่อติดตั้งระบบท่อที่จะใช้ในการขนส่งเสร็จแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางในการขนส่งได้ หรือทำได้แต่ทำได้ยาก มีค่าใช้จ่ายสูง
- ไม่เหมาะกับการขนส่งในภูมิประเทศที่มีแผ่นดินไหวบ่อย

การบำรุงรักษาระบบขนส่งทางท่อ
การบำรุงรักษาระบบขนส่งทางท่อมีความสำคัญเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย รวมถึงลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลหรืออุบัติเหตุ โดยหลักๆ แล้วจะรวมถึงการดำเนินการดังนี้:
- การตรวจสอบและประเมินสภาพ:
- ตรวจสอบสภาพท่อเป็นระยะ เช่น การตรวจสอบความแข็งแรงและการสึกหรอ
- ใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบเช่น อุปกรณ์ตรวจสอบภายในท่อ (Inline Inspection Tools) เพื่อตรวจหาเนื้อวัสดุที่เสื่อมสภาพ
- การซ่อมแซม:
- ซ่อมแซมจุดที่เกิดการรั่วหรือมีความเสียหาย โดยการใช้วัสดุที่เหมาะสม
- ติดตั้งระบบป้องกันการรั่วไหล เช่น การใช้วัสดุป้องกันหรืออุปกรณ์ตรวจจับการรั่ว
- การทำความสะอาด:
- ทำความสะอาดภายในท่อเพื่อขจัดคราบหรือสิ่งสกปรกที่อาจทำให้การไหลช้าลง
- ใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การไหลของของเหลวที่มีแรงดันสูงหรือการใช้เครื่องมือทำความสะอาด
- การตรวจสอบความดันและอุณหภูมิ:
- ติดตั้งเซนเซอร์เพื่อตรวจสอบและควบคุมความดันและอุณหภูมิภายในท่อ
- วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจหาความผิดปกติ
- การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน:
- วางแผนการบำรุงรักษาเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- จัดทำรายงานบำรุงรักษาเพื่อให้สามารถติดตามประวัติและสถานะของระบบได้
- การฝึกอบรมพนักงาน:
- ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการดูแลระบบขนส่งทางท่อ และวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การบำรุงรักษาที่ดีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบขนส่งทางท่อและลดความเสี่ยงต่อความเสียหายและการหยุดชะงักในการดำเนินงาน.
สรุป
การขนส่งทางท่อ (Pipeline Transportation) เป็นวิธีการขนส่งของเหลวหรือก๊าซผ่านท่อที่มีความยาวมาก โดยปกติใช้ในการขนส่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ น้ำ หรือสารเคมี มีข้อดีหลายประการ การขนส่งทางท่อจึงเหมาะสำหรับการขนส่งของที่มีปริมาณมากและเป็นประจำในระยะทางไกล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงานและเคมี

