ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในภาคการผลิตมากขึ้น ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม กลายเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาคุณภาพของสินค้า แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ระบบควบคุมในโรงงานมีหลายรูปแบบ และแต่ละแบบมีจุดเด่นแตกต่างกัน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ 7 รูปแบบระบบควบคุมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงงานอุตสาหกรรมไทย
ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม คืออะไร?
ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม (Industrial Control System – ICS) คือ ชุดของเทคโนโลยี กระบวนการ และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุม ตรวจสอบ และจัดการการทำงานของเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตภายในโรงงาน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่าง แม่นยำ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบควบคุมนี้มีหน้าที่ตั้งแต่การสั่งให้เครื่องจักรเริ่ม/หยุดทำงาน การควบคุมอุณหภูมิ ความดัน ความเร็ว จนถึงการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์และการแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติ
หัวข้อในบทความนี้

ประโยชน์ของระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม
ประโยชน์ของระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม มีหลากหลายที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการผลิตและบริหารจัดการการทำงานในโรงงานให้ง่ายขึ้นและดีกว่าเดิม นี่คือประโยชน์หลัก ๆ ที่สำคัญ
1. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- ระบบควบคุมช่วยให้กระบวนการผลิตทำงานอย่างอัตโนมัติและต่อเนื่อง โดยลดการพึ่งพาแรงงานคน และลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการควบคุมด้วยมือ
- ช่วยปรับกระบวนการผลิตให้ทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำมากขึ้น
2. ลดความผิดพลาดจากมนุษย์
- ระบบควบคุมที่มีการตั้งโปรแกรมหรือการป้อนกลับข้อมูล (Feedback) ช่วยลดข้อผิดพลาดจากการตัดสินใจของมนุษย์
- ช่วยให้กระบวนการทำงานมีความสม่ำเสมอและไม่ต้องพึ่งพาความสามารถของบุคลากรเพียงอย่างเดียว
3. ปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์
- การควบคุมที่แม่นยำช่วยให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพสม่ำเสมอ ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด
- ช่วยลดของเสียและการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ ลดต้นทุนการผลิตที่เกิดจากการทำซ้ำหรือเสียหาย
4. ลดต้นทุนการผลิต
- ระบบควบคุมช่วยให้โรงงานใช้ทรัพยากร (เช่น พลังงาน, วัตถุดิบ) อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียจากการทำงานที่ไม่จำเป็น
- ลดต้นทุนจากการซ่อมแซมและการบำรุงรักษาเครื่องจักรเนื่องจากการตรวจสอบและการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ
5. เพิ่มความปลอดภัยในโรงงาน
- ระบบควบคุมสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัย เช่น อุณหภูมิสูงเกินไป หรือการรั่วไหลของสารเคมี
- ช่วยให้การทำงานในโรงงานปลอดภัยมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการควบคุมที่ไม่เหมาะสม
6. ความสามารถในการมอนิเตอร์และควบคุมระยะไกล
- ระบบ SCADA หรือ DCS ช่วยให้ผู้จัดการโรงงานสามารถมอนิเตอร์สถานะของการผลิตและควบคุมเครื่องจักรจากระยะไกลได้
- ช่วยให้สามารถตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรได้ตลอด 24 ชั่วโมงและปรับเปลี่ยนการตั้งค่าหรือหยุดเครื่องจักรได้ทันทีหากพบปัญหา
7. เพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต
- ระบบควบคุมที่ใช้โปรแกรม เช่น PLC หรือระบบควบคุมอัจฉริยะสามารถปรับเปลี่ยนตามกระบวนการหรือคำสั่งการผลิตที่แตกต่างกัน
- การตั้งโปรแกรมใหม่ทำได้ง่ายและไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรืออุปกรณ์เครื่องจักร
8. สนับสนุนการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
- ระบบควบคุมที่เก็บข้อมูลการทำงานและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ จะช่วยให้โรงงานสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพและปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นในระยะยาว
- การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้รู้ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตและสามารถหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที
รูปแบบของระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรมมีกี่แบบ
ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม คือหัวใจสำคัญในการดำเนินกระบวนการผลิตให้เป็นไปอย่าง ปลอดภัย แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ โดยสามารถแบ่งรูปแบบของระบบควบคุมออกเป็น 7 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละแบบมีรายละเอียดดังนี้:
1. ระบบควบคุมแบบแมนนวล (Manual Control System)
ลักษณะ:
ระบบควบคุมที่ต้องอาศัยแรงงานคนเป็นหลัก พนักงานจะเป็นผู้สังเกต ปรับ และสั่งงานเครื่องจักรต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น การเปิดปิดปั๊มน้ำ หรือปรับระดับความร้อนของเตา
ตัวอย่างการใช้งาน:
- การเปิด/ปิดวาล์วด้วยมือในโรงงานเคมี
- การควบคุมเครื่องกวนในถังผสม
ข้อดี:
- ต้นทุนติดตั้งต่ำ
- เหมาะสำหรับกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน
ข้อเสีย:
- เสี่ยงต่อความผิดพลาดของมนุษย์ (Human error)
- ประสิทธิภาพต่ำ และไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ
2. ระบบควบคุมแบบเปิด (Open Loop Control System)
ลักษณะ:
ระบบที่ส่งคำสั่งไปยังอุปกรณ์ควบคุมโดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์ ไม่มี Feedback กลับมา เช่น ตั้งเวลาการทำงานล่วงหน้า แล้วปล่อยให้เครื่องทำงานตามนั้น
ตัวอย่างการใช้งาน:
- สายพานลำเลียงที่ตั้งเวลาเปิด/ปิดไว้
- เครื่องฉีดน้ำที่ตั้งเวลาไว้แน่นอน
ข้อดี:
- โครงสร้างง่าย ไม่ต้องใช้เซ็นเซอร์หรือระบบวัดค่า
- ราคาประหยัด
ข้อเสีย:
- ไม่สามารถปรับตัวกับสถานการณ์จริงได้
- หากมีความผิดปกติ เครื่องจักรจะยังทำงานต่อไปโดยไม่รู้ตัว
3. ระบบควบคุมแบบปิด (Closed Loop Control System)
ลักษณะ:
ระบบที่มีการวัดผลและส่งข้อมูลย้อนกลับมาเพื่อปรับค่าให้เหมาะสม เช่น การควบคุมความเร็วหรืออุณหภูมิ
ตัวอย่างการใช้งาน:
- เครื่องปรับอากาศที่รักษาอุณหภูมิให้คงที่
- ระบบควบคุมความดันในหม้อไอน้ำ
ข้อดี:
- ควบคุมได้แม่นยำ
- ระบบสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนได้เอง
ข้อเสีย:
- ต้องใช้เซ็นเซอร์และตัวประมวลผลเพิ่ม
- ค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
4. ระบบควบคุมโดยใช้โปรแกรม (Programmable Control System)
ลักษณะ:
ระบบควบคุมที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น PLC (Programmable Logic Controller) ในการควบคุมกระบวนการอัตโนมัติ
ตัวอย่างการใช้งาน:
- สายการผลิตอัตโนมัติในโรงงานอาหาร
- ระบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ PLC ควบคุมการทำงานของเครื่องจักร
ข้อดี:
- ปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ตามความต้องการ
- เหมาะกับกระบวนการผลิตที่ต้องความยืดหยุ่น
ข้อเสีย:
- ต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทาง
- ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
5. ระบบควบคุมแบบกระจาย (Distributed Control System – DCS)
ลักษณะ:
ระบบควบคุมที่แบ่งการควบคุมออกเป็นหน่วยย่อย ๆ แต่ละหน่วยทำงานเฉพาะด้าน และมีการเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมหลัก
ตัวอย่างการใช้งาน:
- โรงกลั่นน้ำมัน
- โรงไฟฟ้า
- ระบบปรับอากาศในอาคารขนาดใหญ่
ข้อดี:
- ควบคุมได้ละเอียดในแต่ละส่วน
- หากระบบบางส่วนล่ม ยังสามารถควบคุมส่วนอื่นได้
ข้อเสีย:
- ลงทุนสูง
- ระบบซับซ้อน ต้องมีการดูแลบำรุงรักษาสม่ำเสมอ
6. ระบบ SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition)
ลักษณะ:
ระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการมอนิเตอร์และควบคุมการทำงานของเครื่องจักรจากระยะไกล รวมถึงการเก็บข้อมูลเรียลไทม์
ตัวอย่างการใช้งาน:
- ระบบควบคุมไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม
- ระบบจ่ายน้ำในเมืองใหญ่
ข้อดี:
- มอนิเตอร์และควบคุมได้จากศูนย์กลาง
- วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการผลิตได้ง่าย
ข้อเสีย:
- ต้องมีระบบเครือข่ายและซอฟต์แวร์ที่ดี
- มีค่าใช้จ่ายสูงในการติดตั้งและดูแลรักษา
7. ระบบควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Control System)
ลักษณะ:
ระบบที่นำเทคโนโลยี AI, Machine Learning หรือ Fuzzy Logic มาใช้ในการควบคุม ทำให้ระบบสามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เอง
ตัวอย่างการใช้งาน:
- หุ่นยนต์ในสายการผลิต
- ระบบควบคุมการใช้พลังงานในโรงงานอัจฉริยะ
ข้อดี:
- ปรับตัวได้ตามสถานการณ์
- รองรับการควบคุมแบบ Real-time และการคาดการณ์ล่วงหน้า
ข้อเสีย:
- ต้นทุนสูง
- ต้องใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกในการตั้งค่าระบบ

ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรมใช้กับอุตสาหกรรมอะไรบ้าง
ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายประเภทของอุตสาหกรรม ซึ่งแต่ละประเภทมีความต้องการที่แตกต่างกันในการควบคุมและตรวจสอบกระบวนการผลิต โดยทั่วไปแล้ว ระบบควบคุมมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และควบคุมความปลอดภัยในกระบวนการผลิตในทุกอุตสาหกรรมหลัก ๆ ต่อไปนี้
1. อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing Industry)
- ประเภท: การผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์, เครื่องจักร, อุปกรณ์ไฟฟ้า, และอื่น ๆ
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมสายการผลิต (Assembly Line) การทำงานของหุ่นยนต์ในโรงงาน (Robotics) หรือการควบคุมการใช้งานเครื่องจักร เช่น เครื่องจักร CNC (Computer Numerical Control)
- ประโยชน์: เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต, ลดความผิดพลาด, และปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้มีความสม่ำเสมอ
2. อุตสาหกรรมเคมี (Chemical Industry)
- ประเภท: การผลิตสารเคมี, น้ำมัน, ก๊าซ, หรือวัสดุเคมีต่าง ๆ
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมอุณหภูมิ, ความดัน, การไหลของสาร, และการผสมสารเคมีตามสูตรที่กำหนด
- ประโยชน์: ปรับปรุงความปลอดภัยในกระบวนการที่มีสารเคมีที่อันตราย, ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน และเพิ่มความแม่นยำในการผลิต
3. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage Industry)
- ประเภท: การผลิตอาหาร, เครื่องดื่ม, ขนมขบเคี้ยว, หรือผลิตภัณฑ์จากนม
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมอุณหภูมิในกระบวนการทำอาหาร เช่น การสเตอริไลซ์, การควบคุมการหมุนเวียนของน้ำหรืออากาศ, การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของวัตถุดิบ
- ประโยชน์: ปรับปรุงคุณภาพสินค้า, ลดการสูญเสียวัสดุ, และสามารถรักษาความปลอดภัยในกระบวนการผลิต
4. อุตสาหกรรมพลังงาน (Energy Industry)
- ประเภท: การผลิตไฟฟ้า, การผลิตพลังงานจากแหล่งต่าง ๆ เช่น พลังงานน้ำ, พลังงานลม, พลังงานจากฟอสซิล
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า, การควบคุมความดันในโรงไฟฟ้า, การควบคุมการจ่ายพลังงานในโครงข่าย
- ประโยชน์: ช่วยเพิ่มความเสถียรของระบบพลังงาน, ลดความผิดพลาดในการจ่ายพลังงาน, และควบคุมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
5. อุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive Industry)
- ประเภท: การผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ต่าง ๆ
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมสายการผลิตยานยนต์, ระบบควบคุมการประกอบ, การตรวจสอบคุณภาพของชิ้นส่วนรถยนต์
- ประโยชน์: ปรับปรุงการผลิตที่มีความแม่นยำสูง, ลดข้อผิดพลาดจากการผลิต, และเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบรถยนต์
6. อุตสาหกรรมเหมืองแร่ (Mining Industry)
- ประเภท: การขุดแร่, การทำเหมืองแร่
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรขุดเจาะ, การขนส่งแร่, การควบคุมการทำงานของเครื่องบดแร่
- ประโยชน์: ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ, ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก
7. อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า (Electrical and Electronics Industry)
- ประเภท: การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, และอุปกรณ์ไฟฟ้า
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมการประกอบชิ้นส่วน, การทดสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
- ประโยชน์: ลดความผิดพลาดในกระบวนการผลิต, เพิ่มความแม่นยำในการทดสอบคุณภาพ, และปรับปรุงคุณภาพสินค้า
8. อุตสาหกรรมเภสัชกรรม (Pharmaceutical Industry)
- ประเภท: การผลิตยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
- การใช้งาน: ระบบควบคุมใช้ในการควบคุมอุณหภูมิ, ความชื้น, และการผสมสารในกระบวนการผลิตยา
- ประโยชน์: ช่วยให้การผลิตยามีคุณภาพสูง, ปรับปรุงการควบคุมสภาพแวดล้อมในการผลิต, และป้องกันการปนเปื้อน
ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถใช้ได้ใน อุตสาหกรรมหลายประเภท ทั้งการผลิต, เคมี, พลังงาน, ยานยนต์, อาหาร, และอื่น ๆ โดยระบบเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด ปรับปรุงคุณภาพการผลิต และเพิ่มความปลอดภัยให้กับกระบวนการผลิตในทุกภาคส่วน